ช่วงนี้ Ford เริ่มจัดโปรโมชั่นเอาใจกลุ่มพ่อค้ามากขึ้น ดังนั้นในบล็อกนี้จึงขอเอาสเปคของ Ford Ranger Open Cab 2.2L XLS 4×2 6MT มาให้ได้ชมกัน เป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ราคารุ่นนี้อยู่ที่ 659,000 บาท ถือเป็นรุ่นยอดนิยมที่กลุ่มพ่อค้าเอามาใช้สำหรับขนของหนักๆ ส่วนอีกรุ่นที่เป็นตัวยกสูง Ford
Ranger Open Cab 2.2L XLS 4×2 Hi-Rider 6MT ราคาจะอยู่ที่ 699,000 บาท
ข้อมูลเครื่องยนต์ (Engine)
- แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว VG Turbo Intercooler
- ความจุกระบอกสูบ 2.198 ซี.ซี.
- ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 86.0 x 94.6 มม.
- อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1
- กำลังสูงสุด – กิโลวัตต์ (แรงม้า) / รอบต่อนาที 92(125) / 3700
- แรงบิดสูงสุด – นิวตัน-เมตร / รอบต่อนาที 320 / 1600-1700
- ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หีวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่น คอมมอนเรล
- ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
- น้ำมันเชื้อเพลิง ดีเซล
- อัตราทดเฟืองท้าย 3.31 : 1
ข้อมูลแชสซีส์ (Chassis)
- ระบบกันสะเทือนหน้า แบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง
- ระบบกันสะเทือนหลัง แหนบซ้อน
- ระบบเบรกหน้า ดิสก์เบรก พร้อมครีบระบายความร้อน
- ระบบเบรกหลังเป็นแบบดรัมเบรก
- ระบบบังคับเลี้ยว พาวเวอร์แบบช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPAS)
- รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.9 เมตร
- ล้อกระทะเหล็ก 16 นิ้ว
- ยาง 215/70 R16 (ตัวยกสูง Hi-Rider 255/75 R17)
มิติภายนอก
- ขนาดของตัวรถ (กว้าง x ยาว x สูง) : 1860 x 5362 x 1706 (ตัวยกสูง 1860 x 5362 x 1804)
- ความกว้างช่วงล้อหน้า/หลัง : 1590
- ความยาวช่วงล้อ : 3220
- มิติกระบะ (กว้าง x ยาว x สูง) : 1560 x 1847 x 511
- ระยะต่ำสุดจากพื้น : 201 (ตัวยกสูง Hi-Rider 230)
ระบบเครื่องเสียง
- วิทยุพร้อมเครื่องเล่น CD/MP3 แบบแผ่นเดียว
- ช่องต่อ AUX
- ช่องต่อ USB
- ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และ ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC (ถ้าเป็นรุ่น Wildtrak จะเป็นเวอร์ชั่น SYNC 2)
- ลำโพง 6 จุด
- จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล
- สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
อุปกรณ์ภายในและความสะดวกสบาย
- กุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้
- ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
- พวงมาลัยและหัวเกียร์เป็นแบบพลาสติก
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
- ระบบปรับอากาศ เป็นแบบธรรมดา (ถ้าเป็นรุ่น Wildtrak สามารถปรับแยก ซ้าย-ขวา ได้)
- ที่บังแดดด้านคนขับพร้อมที่เสียบนามบัตร
- ที่บังแดดด้านผู้โดยสารพร้อมกระจกส่องหน้า
- กระจกด้านหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบเปิด-ปิดแบบสัมผัสเดียวด้านคนขับ
- กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า
- เซ็นทรัลล็อค
- เบาะนั่งคนขับปรับตำแหน่งได้ 6 ทิศทาง ขึ้น/ลง, หน้า/หลัง, ปรับเอน
- ช่องต่อไฟ 12V จำนวน 2 จุด
Ford Ranger Open cab Hi-Rider 2.2L XLS 4 x 2 6MT เรียกชื่อกันแบบเข้าใจง่ายๆ ก็เป็นฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น ขับสอง ยกสูง แค๊ปเปิดได้ ที่ใช้เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร Mid Power ที่มีกำลัง 125 แรงม้า ซึ่งเน้น ใช้งานบรรทุก จับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการใช้รถเข้าสวน ขนของ ออกแนวขาลุยชนบท หรือบริษัทห้างร้าน ใช้ขนส่ง
รูปลักษณ์ภายนอก ฟอร์ด เรนเจอร์ XLS ใหม่ มีจุดที่แตกต่างจากรุ่นอื่น ตรงที่กระจังหน้า ที่มีสีเทา ไม่ได้เป็นโครเมี่ยมหรูหราเหมือนรุ่นเครื่องยนต์ High Power มีความทะมัดทะแมง และความเทห์อยู่ไม่น้อยครับ โคมไฟหน้ารมดำ เป็นไฟหน้าแบบมัลติรีเฟรกเตอร์ พร้อมไฟเลี้ยวสีเหลืองในโคม กระจกมองข้างสีเดียวกับกระจังหน้า ไม่มีไฟเลี้ยวติดมาให้ มีระบบปรับมุมมองแบบไฟฟ้า แต่ไม่มีพับกระจกไฟฟ้ามาให้ ใช้มือพับไปก็แล้วกันครับ ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ด้านล่างสุด มีไฟตัดหมอกติดตั้งมาให้จากโรงงาน เป็นทรงกลมครอบสีดำ ถ้าเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 160 แรงม้า จะเป็นครอบสีเทาเงิน และถ้าเป็นรุ่น ไวลด์แทรค จะเป็นทรงเหลี่ยมครับ
ด้านข้างมือจับประตู เป็นพลาสติกสีดำด้าน ติดตั้งบันไดข้างใหม่สีดำล้วน ขึ้นลงง่ายกว่าเดิม ล้อแม็กขนาด 16 นิ้ว ลายแม็ก 5 ก้าน ต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ 160 แรงม้า มีไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถมาให้สีเหลือง
บานแค็ปเปิดได้ 90 องศา ในส่วนนี้ ต้องบอกว่า ฟอร์ดเป็นผู้นำตัวจริง เพราะเป็นรุ่นแรกที่ทำแค็ปเปิดได้ และก็เปิด-ปิดได้อย่างแน่นหนา มั่นใจสำหรับคนใช้รถ แต่ในส่วนของกระจกแค็ปด้านข้างบานเล็ก ไม่สามารถเปิดรับลมหรือระบายอากาศได้
ด้านท้ายของ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังคงเหมือนเดิม โดยรุ่น XLS มีกันชนหลังสีเดียวกับตัวรถ เหมือนกันรุ่นเดิม ติดตั้งมาให้ มือเปิดฝาท้ายสีดำด้านเช่นเดียวกับมือจับด้านข้างตัวรถ ไฟเบรกดวงที่สาม เหมือนกับรุ่นเดิมครับ
ชัดเจนที่สุด คือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือครุยซ์คอนโทรล แม้จะไม่ได้หุ้มหนังเดินดายเย็บมาแบบรุ่นที่มีราคาสูงกว่า แต่ก็ทำให้รถดูน่าใช้ ไม่กั๊กอุปกรณ์ มีที่จับโหนขึ้นรถมาให้ที่เสา A-pillar ทั้งสองข้าง ที่น่าชื่นชมอีกจุด คือการให้ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ยอดเยี่ยมมากๆครับ
ภายในของ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น XLS ยังคงเหมือนกับรุ่นเดิม ทั้งคอนโซล และพวงมาลัย เน้นโทนสีดำ แต่มีการปรับอุปกรณ์เพิ่มเติมเข้ามาให้รถมีความครบครันมากยิ่งขึ้น ชัดเจนที่สุด คือพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือครุยซ์คอนโทรล แม้จะไม่ได้หุ้มหนังเดินดายเย็บมาแบบรุ่นที่มีราคาสูงกว่า แต่ก็ทำให้รถดูน่าใช้ ไม่กั๊กอุปกรณ์ มีที่จับโหนขึ้นรถมาให้ที่เสา A-pillar ทั้งสองข้าง ที่น่าชื่นชมอีกจุด คือการให้ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ยอดเยี่ยมมากๆครับ
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ XLS ยังติดตั้งระบบสั่งงานด้วยเสียง พร้อมทั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ ด้วยบลูทูธ เครื่องเสียงสามารถเล่นไฟล์เพลง MP3 และสามารถเชื่อมต่อผ่านช่อง AUX และ USB ระบบปรับอากาศ เป็นแบบแมนนวล มือหมุน เหมือนในรุ่นเดิม
หัวเกียร์ มีการเปลี่ยนแปลง ด้วยการออกแบบใหม่ จากของเดิมที่เป็นทรงกลม หัวเกียร์ทรงใหม่ในรุ่น XLS จะใช้สีดำด้าน อีกจุดที่มีการปรับปรุงเพิ่มเดิม นั่นก็คือ วงแหวนที่ใช้ยกขึ้นเพื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (R) มีการออกแบบให้ดูคมขึ้น แต่ใช้งานได้ดีขึ้น จับเข้าเกียร์ถอยหลังได้กระชับนิ้วกว่ารุ่นเดิมครับ
เบาะนั่งที่ให้มาก็เป็นเบาะทรงเดิม เป็นเบาะผ้าสีดำที่ดูแลรักษาง่าย นั่งสบาย ขับเดินทางไกลได้ดี รายละเอียดภายในห้องโดยสาร เรื่องอื่นๆ คงไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักครับ เพราะภายในห้องโดยสารของ ฟอร์ด เรนเจอร์ XLS โดยรวม ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางอุปกรณ์ รูปแบบ และลักษณะของการใช้งานในจุดต่างๆ
รายละเอียดตัวรถ ในจุดที่น่าสนใจ ที่มีการปรับปรุงให้ดูดี และทันสมัยยิ่งขึ้น อย่าง…ที่ฉีดน้ำล้างกระจกบานหน้า ย้ายลงไปซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรง ใบปัดน้ำฝน ก็เปลี่ยนใหม่เหมือนในรถยนต์นั่ง ขนาดเรียวเล็ก ลงตัวกับกระโปรงหน้าที่ดีไซน์ใหม่ พร้อมโช๊คค้ำฝากระโปรงคู่ ช่วยผ่อนแรงเวลาเปิดดูห้องเครื่องเพื่อตรวจเช็ค
ฟอร์ด เรนเจอร์ XLS ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค 2.2 ลิตร เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ 125 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร หรือ เรียกสั้นๆว่า เครื่องยนต์ Mid Power จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่เข้าเกียร์ได้ง่ายกว่าเดิม ในรุ่นนี้ไม่มีฝาครอบเครื่องยนต์ และแผ่นกันความร้อนฝากระโปรง
ช่วงความเร็ว 100 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว ที่จะเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่กระปรี้กระเปร่าเท่ากับเครื่องยนต์ High Power 160 แรงม้า ถ้าอยากจะเร่งแซงแบบสนุกสนาน แค่คิกดาวน์คงไม่พอ ต้องสับเกียร์ช่วยถึงจะได้อารมณ์
การตอบสนองของเครื่องยนต์ แม้ว่าฟอร์ด เรนเจอร์ XLS คันนี้ จะว่างเครื่องยนต์ Mid Power ที่มีกำลังน้อยลงมาหน่อย แต่ในการออกตัว ถ้าไม่บอกหรือ ไม่สังเกตุกันจริง บอกได้เลยครับว่า ไม่ได้แตกต่างจากเครื่องยนต์ 2.2 High Power มากนัก ออกตัวดี เร่งแซงสบาย แต่จะมีช่วงความเร็ว 100 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปแล้ว ที่จะเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่กระปรี้กระเปร่าเท่ากับเครื่องยนต์ High Power 160 แรงม้า ถ้าอยากจะเร่งแซงแบบสนุกสนาน แค่คิกดาวน์คงไม่พอ ต้องสับเกียร์ช่วยถึงจะได้อารมณ์ แถมรอบเครื่องยนต์ก็ดูจะสูงกว่ากันด้วย เหตุผลคือ แรงบิด 320 นิวตันเมตร ที่กระจุกตัวอยู่ในรอบต่ำ 1,600 ถึง 1,700 รอบต่อนาที
ความเร็ว 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,900-2,100 รอบต่อนาที ทำให้อัตราสิ้นเปลืองก็ไม่ได้ดีไปกว่า เครื่องยนต์ High Power เลย จากการใช้งาน วิ่งรถเปล่า ใช้ความเร็วในการเดินทาง เร็วบ้างช้าบ้าง ทั้งในเมืองนอกเมือง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 11.8 กิโลเมตรต่อลิตร
เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ของ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นใหม่นี้ รู้สึกเลยว่าเข้าง่ายกว่าเดิมทุกเกียร์ครับ นุ่มนวลด้วย ครัชก็นิ่มกว่ารุ่นเก่าเล็กน้อย ตรงนี้อาจจะเป็นเฉพาะคันก็ได้ ในเรื่องน้ำหนักของครัช
มีระบบเบรก ABS และ EBD ติดตั้งมาให้ น้ำแป้นเบรก ก็ยังคงเหมือนเดิมครับ ใช้ระยะเบรกสั้น สร้างความมั่นใจได้ดี
พวงมาลัยแรคแอนด์พิเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรง เบากว่ารุ่นเดิมไม่มาก ระยะฟรีของพวกมาลัยกำลังดี โยกหลบหักเลี้ยวได้ทันใจ ไม่เปลืองแรง
การดูดซับแรงของ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น XLS ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง คันนี้ ทำได้น่าชื่นชมครับ นุ่มนวลกว่า ในรุ่นที่ใส่แม็ก 17 นิ้ว มาให้ เพราะในรุ่น XLS ให้แม็กขนาด 16 นิ้ว ขนาดยาง 255/70 R16 ซับแรงกระแทกของพื้นถนนได้ดีกว่า แต่ที่ดีดดิ้นกว่า น่าจะเป็นช่วงล่างครับ เพราะเป็นตัวถังแค๊ป เน้นการบรรทุก ท้ายเบา ถ้ามีโหลดบรรทุก จะทำให้รถนิ่งขึ้น
สิ่งที่แตกต่างจากรุ่น เครื่องยนต์ High Power อีกหนึ่งอย่างก็คือ อัตราทดเฟืองท้าย โดย ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น XLS มีอัตราทดเฟืองท้ายอยู่ที่ 3.31 ในขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ High Power เกียร์ธรรมดา หรือ XLT 4×2 HR 6MT อัตราทดเฟืองท้ายอยู่ที่ 3.15 และรุ่นเครื่องยนต์ High Power เกียร์อัตโนมัติ หรือ XLT 4×2 HR 6AT มีอัตราทดเฟืองท้ายที่ 3.73 ถ้าดูจากข้อมูลตรงนี้ แสดงให้เห็นว่า ฟอร์ดมีการปรับจูนอัตราทดเฟืองท้ายให้มีการทำงานสัมพันธ์กับพละกำลังของเครื่องยนต์ในแต่ล่ะรุ่น เพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกัน
ในส่วนของการวิ่งถนนดำ ทางลาดยาง สบายๆเลยครับ ถนนขรุขระทางฝุ่นลูกรังยังเอาอยู่ ถนนลาดยางก็ไม่มีปัญหาครับ ตัวรถอาจจะไม่ได้ตกแต่งมาให้ดูหรูหรา แต่พอนำมาวิ่งบนถนนเลนสวนต่างจังหวัด วิวริมถนน ผ่านสวนผลไม้ สวนยาง แปลงผัก กลับทำให้รถโดดเด่น สง่า เทห์ ผมขับเอง เหมาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ เจ้าของสวน เจ้าของฟาร์ม ซื้อใช้เองแบบไปไหนไปกัน หรือจะซื้อไว้ให้ลูกน้องใช้งาน เพราะยกสูงด้วย แม้จะไม่ได้เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็จัดได้ว่าถึงไหนถึงกัน เพราะสภาพถนนในเมืองไทยส่วนใหญ่ แค่รถขับ 2 ก็ไปได้สบายๆครับ
